จอย (Joy) สมาชิกวง Red Velvet แชร์ข่าวดีของครอบครัว เมื่อน้องสาวของเธอเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม จอยได้อัปโหลดภาพหลายภาพลงในช่องทางส่วนตัว พร้อมแคปชันสั้น ๆ ว่า “เป็นวันที่ดีจริง ๆ” ภาพถ่ายเผยให้เห็นจอยโพสท่าร่วมกับน้องสาวอีกสองคนอย่างอบอุ่น โดยน้องคนกลางซึ่งเป็นเจ้าสาวนั่งอยู่ตรงกลางในชุดแต่งงานสีขาวสวยสง่า ดึงดูดสายตาของทุกคนไปทันที แฟน ๆ ยังสังเกตเห็นทรงผมใหม่ของจอย — หลังจากไว้ผมยาวสีบลอนด์มาหลายเดือน เธอได้เปลี่ยนลุคเป็นบ็อบสั้นสีดำ ทำให้ดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงและเพิ่มเสน่ห์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคม จอยเคยปรากฏตัวในรายการ I Live Alone ของช่อง MBC ซึ่งในตอนนั้นเธอได้ไปเยี่ยมบ้านใหม่ของน้องที่เพิ่งแต่งงาน และได้ทำหน้าที่ของพี่สาวที่แสนดี เธอได้มอบของขวัญให้กับน้องสาวและน้องเขยเป็นเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และจิตใจที่อ่อนโยนของเธอ ในขณะเดียวกัน จอยได้ปล่อยมินิอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Love Splash! ออกมาในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเตรียมกลับคืนสู่วงการแสดงอีกครั้งในรอบ 4 ปี กับซีรีส์เรื่องใหม่ One-of-a-Kind Romance ซึ่งดัดแปลงจากเว็บตูนชื่อเดียวกัน ซีรีส์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของ “กงยูอิล” หญิงสาวผู้สมัครงานธรรมดา ๆ ที่ชีวิตพลิกผันอย่างไม่คาดคิด เมื่อวันหนึ่งนักแสดงชื่อดัง “ทักมูอี” และไอดอล “รยูมิน” เข้ามาเกี่ยวพันกับชีวิตของเธอ จนเกิดเป็นความรักที่แสนอบอุ่นหัวใจ โดยจอยจะรับบทนำในฐานะ “กงยูอิล” ในผลงานเรื่องนี้   ที่มา popcornfor2 รูป Instagram '_imyour_joy'

ยูบิน (Yubin) อดีตสมาชิกวง Wonder Girls ได้ออกมาเปิดใจถึงความสัมพันธ์ในอดีตกับ ซอฮยอน (Seohyun) Girls’ Generation พร้อมเผยสาเหตุที่ทั้งคู่ไม่สามารถสนิทกันได้ในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างอยู่ในจุดสูงสุดของเส้นทางไอดอล เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา รายการตอนใหม่ที่ชื่อ “2nd Gen Queens: Wonder Girls vs Girls’ Generation | Yubin’s Spotlight EP14. Seohyun” ได้เผยแพร่ผ่านช่อง YouTube ของ ยูบิน “Yubin’s Spotlight” ในรายการ ซอฮยอน ซึ่งมาร่วมเป็นแขกรับเชิญ ได้เล่าว่า “ช่วงนี้เราได้เจอกันบ่อยขึ้นนะคะ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ออกรายการด้วยกันมานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ในงานเดียวกันน่าจะเป็นตอนงานประกาศรางวัลหลังจากที่ทั้งสองวงกำลังโปรโมตเพลงเลยล่ะค่ะ” ต่อมา ยูบิน ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “จริง ๆ แล้วฉันมีเรื่องอยากสารภาพค่ะ ในบรรดาสมาชิก Girls’ Generation ซอฮยอน เป็นคนที่ฉันชอบที่สุดเลยนะ แม้พวกเธอจะเดบิวต์ก่อนพวกเรา ฉันก็ยังชอบ ซอฮยอน มากอยู่ดี เพราะฉันชื่นชมที่เธอเป็นน้องเล็กของวงที่ขยันและพยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสมอค่ะ” ซอฮยอน ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ในตอนนั้นฉันเองก็อยากสนิทกับ ยูบิน เหมือนกันค่ะ แต่พวกเรายุ่งมากจริง ๆ และยังใช้ห้องพักศิลปินคนละห้องกัน เลยแทบไม่มีโอกาสได้เจอกันเลยค่ะ” ยูบิน เสริมต่อพร้อมหัวเราะว่า “บริษัทของเรายังพยายามไม่ให้ช่วงคัมแบ็กชนกันด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมารยาททางอาชีพหรือเปล่า แต่เรามักจะวางตารางโปรโมตให้ห่างกันเล็กน้อยค่ะ” ทั้งสองสาวได้ย้อนความทรงจำพร้อมหัวเราะว่า “ตอนนั้นเราเป็นคู่แข่งกันสุด ๆ เลยค่ะ” ยูบินกล่าวต่อว่า “แม้ในใจเราทั้งคู่จะไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคู่แข่งกันจริง ๆ แต่บรรยากาศตอนนั้นทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราควรจะรักษาระยะห่าง ไม่ควรสนิทกันมากนักค่ะ” เธอกล่าวพร้อมแสดงความเสียดายต่อช่วงเวลานั้น แม้จะเคยถูกมองว่าเป็น “คู่แข่ง” ในวงการ แต่ตลอดทั้งรายการ ทั้ง ยูบิน และ ซอฮยอน ต่างหัวเราะและแสดงความเคารพต่อกันอย่างอบอุ่น แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพของพวกเธอได้เติบโตและงดงามขึ้นตามกาลเวลา   ที่มา popcornfor2 รูป Yubin’s Spotlight

ในคำกล่าวที่ทั้งกล้าหาญและจริงใจ อีแจ (EJAE) นักแต่งเพลงและนักร้องผู้ร้องเพลงประกอบ “GOLDEN” จากภาพยนตร์ KPop Demon Hunters ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้นในวงการ K-pop พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการคงไว้ซึ่งเนื้อเพลงภาษาเกาหลีในกระบวนการขยายสู่ระดับโลกของแนวเพลงนี้ ระหว่างงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่โรงภาพยนตร์ CGV Yongsan I’Park Mall กรุงโซล อีแจ ได้พูดถึงกลยุทธ์ “การทำให้ K-pop เข้ากับแต่ละท้องถิ่น” และมุมมองของเธอต่ออนาคตของวงการ “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่ K-pop กำลังถูกทำให้เข้ากับผู้ฟังทั่วโลก คนเกาหลีมีรสนิยมที่ประณีตมาก ตอนที่ KPop Demon Hunters ออกมา ฉันรู้สึกประหม่าเลยว่าผู้ชมชาวเกาหลีจะชอบไหม เพราะมาตรฐานที่นี่สูงมากจริง ๆ” เธอกล่าว แม้เธอจะสนับสนุนเป้าหมายระดับโลกของ K-pop แต่เธอก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาแก่นแท้ของวัฒนธรรมเกาหลีไว้ “ฉันรู้สึกว่า K-pop ตอนนี้เริ่มเอนเอียงไปทางป็อปมากเกินไป ฉันเข้าใจว่าทำไมถึงมีเนื้อเพลงภาษาอังกฤษมากขึ้น แต่ภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่สวยงามมาก ถ้ามันคือ K-pop ก็ควรมีภาษาเกาหลีอยู่ด้วย” เธอกล่าว “แต่ควรให้ภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ฉันเข้าใจทั้งภาษาอังกฤษและความละเอียดอ่อนของภาษาเกาหลี ดังนั้นสองภาษานี้ต้องสอดคล้องกันอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อให้ผู้ฟังได้สัมผัสอย่างแท้จริง” เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่าตัวตนของความเป็นเกาหลีต้องคงอยู่เป็นศูนย์กลาง “ฉันคิดว่า K-pop ควรมุ่งไปที่เกาหลีเป็นหลัก แม้ว่ามันจะพยายามเป็นป็อปมากแค่ไหนก็ตาม แต่เกาหลีมีความงดงามในตัวเอง ดังนั้นการเดินหน้าในทิศทางของความเป็นเกาหลีจะดีกว่า วัฒนธรรมเกาหลีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม มันดีเสมอถ้าทำในแบบของเกาหลี” “ถ้าคุณไปอเมริกา แน่นอนว่าคุณต้องผสมผสานวัฒนธรรมอเมริกันเข้าไปบ้างเพื่อให้มันเป็นที่ยอมรับได้ แต่สุดท้าย เกาหลีก็ต้องยังคงอยู่” เธอสรุป คำกล่าวของ อีแจ ได้จุดกระแสถกเถียงบนโลกออนไลน์ โดยแฟน ๆ ชาวเกาหลีจำนวนมากเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเธอ ความเห็นบางส่วนระบุว่า “จริงเลย ขอให้ใช้ภาษาเกาหลีมากกว่านี้เถอะ” “เพลง ‘This is For’ ของ TWICE เป็นคัมแบ็กเกาหลี แต่ตอนเห็นว่าเนื้อเพลงทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ฉันแทบไม่เชื่อสายตาㅠㅠ ถึงจะเป็นแฟนก็ยังรู้สึกแบบนั้น…” “เพราะแบบนี้แหละ ฉันถึงยังฟังแต่เพลงรุ่น 2 อยู่… เสน่ห์ของ K-pop หายไปหมดแล้วตอนนี้” ท่ามกลางการถกเถียงที่กำลังได้รับความสนใจ คำพูดของ อีแจ จึงกลายเป็นเครื่องเตือนใจถึงสมดุลอันละเอียดอ่อนที่ K-pop ต้องรักษาไว้ — ระหว่างการเปิดรับอิทธิพลระดับโลกและการปกป้องอัตลักษณ์ความเป็นเกาหลีอันโดดเด่นของตนเอง   ที่มา popcornfor2 รูป Netflix

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา อีแจ (Ejae) ได้ปรากฏตัวในรายการ “Lee Eun Ji’s Music Plaza” ทาง KBS Cool FM เพื่อพูดคุยถึงความสำเร็จระดับโลกของภาพยนตร์แอนิเมชัน KPop Demon Hunters ทาง Netflix และซาวด์แทร็กประกอบที่สร้างสถิติใหม่ เพลงประกอบเรื่อง “Golden” ไม่เพียงครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ต่อเนื่องถึง 7 สัปดาห์เท่านั้น แต่ยังทำให้อีแจกลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ถูกจับตามองทั้งในวงการ K-pop และระดับโลก อีแจ ซึ่งเป็นศิลปินชาวเกาหลี-อเมริกันที่ขณะนี้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเธอมีแผนจะปล่อยซิงเกิ้ลเดบิวต์เดี่ยวเพลงแรก “In Another World” ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ พร้อมเตรียมกลับเกาหลีเพื่อทำกิจกรรมโปรโมต อาทิ การแถลงข่าวและการปรากฏตัวในรายการ “You Quiz on the Block” ทางช่อง tvN “ฉันอยากกลับมาที่เกาหลีมานานมากแล้ว” เธอกล่าว “การได้มาทักทายแฟน ๆ ชาวเกาหลีด้วยตัวเองรู้สึกดีมากจริง ๆ แค่อยากให้ได้กลับมาเร็วกว่านี้หน่อย” นักร้องสาวเผยว่าเธอนอนเพียง 3–4 ชั่วโมงต่อวันเพราะตารางงานแน่น แต่ก็กล่าวเสริมว่า “เกาหลีคือบ้านของฉัน” เพราะเธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นราว 15 ปี ระหว่างการสนทนา อีแจเปิดเผยว่าเธอเคยเป็นเทรนนี่ของ SM Entertainment ตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2015 รวมเวลาฝึกกว่า 12 ปีเพื่อเตรียมเดบิวต์เป็นไอดอล ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางในชีวิต “ฉันเป็นเทรนนี่อยู่ประมาณ 12 ปี มันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะตอนเป็นวัยรุ่น แต่ฉันได้เรียนรู้เรื่องวินัยและความพยายาม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อวิธีที่ฉันแต่งเพลงในวันนี้ ฉันมักจะนึกถึงท่าเต้นเวลาเขียนเพลงเสมอ” เธออธิบาย อีแจยอมรับว่าเธอเคยละทิ้งความฝันในการเป็นนักร้องอย่างสิ้นเชิง “การร้องเพลงคือความฝันเก่าของฉัน ฉันตัดสินใจหันมาโฟกัสที่การแต่งเพลงแทน และไม่ได้คิดจะเดบิวต์เป็นนักร้องเลย เพราะฉะนั้นเมื่อโอกาสนี้มาถึง มันรู้สึกเหมือนโชคชะตาจริง ๆ ทุกสิ่งในชีวิตเกิดขึ้นด้วยเหตุผลของมันเอง” เมื่อพูดถึง KPop Demon Hunters อีแจกล่าวว่า “ฉันรู้ทันทีว่าฉันอยากมีส่วนร่วมกับโปรเจกต์นี้ ฉันชอบแอนิเมชันมาก และแม้ว่าจะมีผลงานดี ๆ มากมายจากญี่ปุ่นและจีน แต่ยังไม่เคยมีเรื่องไหนที่สะท้อนความเป็นเกาหลีได้อย่างแท้จริง นั่นยิ่งทำให้ฉันอยากเข้าร่วมมากขึ้น” เพลง “Golden” ซึ่งเป็นที่รู้จักจากเสียงโทนสูงอันทรงพลังนั้น ถูกออกแบบมาโดยตั้งใจ “มันไม่ใช่เพลงที่แต่งให้มนุษย์ร้อง แต่แต่งให้ตัวละครร้อง เสียงสูงเหล่านั้นจำเป็นต้องมีเพื่อถ่ายทอดความสิ้นหวังของ รูมิ ตัวละครหลัก ความกดดันนั้นเกิดขึ้นจริงทั้งกับเธอในฐานะตัวละคร และกับฉันในฐานะนักร้อง” การแสดงสดเพลง “Golden” ของอีแจในรายการ “The Tonight Show Starring Jimmy Fallon” ทางช่อง NBC ก็กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์เช่นกัน “วันนั้นฉันเสียงหายเลยค่ะ ฉันตื่นเต้นจนหายใจเร็วเกินไป แต่ก็พยายามร้องจนจบการแสดงได้” เธอเล่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้าความสำเร็จกับ KPop Demon Hunters อีแจได้สร้างชื่อในฐานะนักแต่งเพลงฮิตในวงการ K-pop โดยมีผลงานให้ศิลปินอย่าง aespa, Red Velvet, NMIXX และ KARD เธอเผยว่าเพลง “Psycho” ของ Red Velvet ยังคงเป็นผลงานที่เธอรักมากที่สุด “มันเป็นเพลงที่ฉันแต่งในแคมป์แต่งเพลงของ SM เป็นครั้งแรก และน่าจะเป็นเพลงที่ 5 หรือ 6 ที่ฉันเคยแต่งในชีวิต ตอนนั้นฉันอยู่ในช่วงความสัมพันธ์ระยะไกลที่ยากลำบาก เพลงนี้เลยเกิดจากอารมณ์ตอนนั้นจริง ๆ” เธอกล่าว สำหรับซิงเกิ้ลเดบิวต์ของเธอ อีแจอธิบายว่าเป็น “เพลงที่สงบ เรียบง่าย เหมาะสำหรับฟังก่อนนอนหรือระหว่างเดินเล่น” ส่วนความฝันระยะยาวของเธอคือการคว้ารางวัล Grammy สาขาการแต่งเพลง และอยากทดลองทำเพลงในทุกแนวต่อไปในอนาคต   ที่มา popcornfor2 รูป xportsnews

ในวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาเกาหลี) รายการ “Our Ballad” ทางช่อง SBS ได้ออกอากาศรอบการแข่งขันหลักครั้งแรก ภายใต้ธีม “บัลลาดแรกในชีวิตของฉัน” ผู้เข้าแข่งขันวัย 22 ปีคนหนึ่งได้แนะนำตัวว่า “ฉันคือคิมยุนอี เคยเป็นเด็กฝึกไอดอลมาก่อน และตอนนี้กำลังกลับมาอีกครั้งในเส้นทางบัลลาด” เธอเผยว่าเคยฝึกซ้อมอยู่ภายใต้ต้นสังกัด SM Entertainment แม้ตอนนี้จะไม่ได้อยู่กับค่ายแล้วก็ตาม “ตอนนั้นฉันชอบอัปโหลดคลิปคัฟเวอร์เพลงบัลลาดลงใน YouTube แล้วทางค่ายก็เป็นฝ่ายติดต่อมาค่ะ ฉันเลยย้ายจากแทจอนขึ้นมาฝึกที่โซลตอนอยู่ ม.5” เมื่อพิธีกร มีมี่ (Mimi) ถามว่าเพื่อนๆ ที่เธอเคยฝึกด้วยมีใครบ้างที่ได้เดบิวต์แล้วหรือไม่ คิมยุนอีตอบว่า “มีค่ะ พวกสมาชิกวง Hearts2Hearts ที่เดบิวต์ในปีนี้ แล้วก็สมาชิก aespa ด้วย ฉันฝึกอยู่ประมาณ 5 ปีค่ะ” การได้เห็นเพื่อนร่วมฝึกซ้อมในอดีตขึ้นเวทีเดบิวต์เป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน เธอกล่าวว่า “ฉันดูการแสดงเปิดตัววงของพวกเธอจากที่บ้าน มันรู้สึกแปลกและเศร้านิด ๆ ที่ได้เห็นเพื่อน ๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันทุกวันกำลังยืนอยู่บนเวทีใหญ่แบบนั้น มันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความสิ้นหวังตอนที่ต้องกลับแทจอนหลังจากถูกคัดออกจากรายชื่อการเปิดตัววง” สำหรับการแสดงในรายการ คิมยุนอีเลือกเพลงเปิดตัวของ Yoon Sang ชื่อ “Shade of Parting” โดยเธออธิบายว่า “ฉันได้ยินเพลงนี้ตอนนั่งรถไฟกลับแทจอนหลังจากออกจากหอพัก เพลงนี้เหมือนบอกความรู้สึกของฉันตอนนั้น — ความรู้สึกที่ต้องปล่อยความฝันในการเป็นไอดอลไป มันเชื่อมโยงกับอารมณ์ของฉันมาก และเพราะการแสดงนี้คือการเริ่มต้นใหม่ของฉัน เพลงนี้เลยมีความหมายพิเศษค่ะ” เมื่อถึงตอนจบการแสดงของเธอ ไฟ “ผ่านเข้ารอบ” ได้สว่างขึ้น กลายเป็นช่วงเวลาแห่งชัยชนะที่เธอสามารถคว้าตั๋วเข้าสู่การแข่งขันต่อไปได้ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากคณะกรรมการและผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ คิมยุนอีได้รับคะแนนทั้งหมด 103 คะแนน ทำให้ผ่านเข้าสู่รอบที่สองอย่างเฉียดฉิว ชาแทฮยอน (Cha Tae Hyun) กล่าวชมว่า “ผมประทับใจมากที่เธอใส่ใจในทุกโน้ตที่ร้องออกมา” ส่วน จองแจฮยอง (Jung Jae Hyung) ก็เสริมว่า “โน้ตสูงตอนท้ายเป็นอาวุธลับของคุณใช่ไหม? มันพลิกเกมเลยจริงๆ” พัคคยองลิม (Park Kyung Lim) ถามต่อว่าเธอเคยเป็นนักร้องเสียงหลัก(Main Vocal) ตอนเป็นเด็กฝึกหรือเปล่า ก่อนกล่าวชมว่า “เธอสานต่อสไตล์การร้องของ SM ได้ดีมาก ไม่ใช่แค่เสียงใสสะอาดนะ แต่เรารับรู้ได้ถึงอารมณ์ของคนที่กำลังนั่งรถไฟกลับบ้านหลังจากละทิ้งความฝัน — ความจริงใจนั้นสื่อออกมาได้ชัดเจนมาก และนั่นคือเหตุผลที่ทุกคนกดปุ่มโหวตให้เธอ” มีมี่ ปิดท้ายว่า “ฉันว่ามันสุดยอดมากเลยนะ ที่หลังจากฝึกเป็นไอดอลมาถึง 5 ปี—ซึ่งต้องใช้การฝึกเสียงอีกแบบหนึ่ง—เธอกลับมาเลือกเส้นทางบัลลาดได้อย่างสวยงาม การร้องของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์จริงๆ ฟังแล้วรู้สึกซึ้งมากค่ะ.” แฟน ๆ ต่างก็แสดงความดีใจและให้กำลังใจคิมยุนอีอย่างล้นหลามบนโลกออนไลน์ พร้อมคอมเมนต์ว่า “เธอร้องเพลงได้ดีมากจริง ๆ หวังว่าเธอจะเดินต่อบนเส้นทางนี้และประสบความสำเร็จนะ” “หน้าคล้ายเวนดี้ แถมเสียงก็เพราะมากด้วย” “คงจะทำใจยากมากเลยที่ต้องโดนตัดออกก่อนเดบิวต์… แต่เธอยังอายุน้อยและมีพรสวรรค์มาก” “น้ำเสียงของเธอมีกลิ่นอายแบบเวนดี้เลย — ฟังแล้วหลงใหลจริง ๆ” เรื่องราวของ คิมยุนอี (Kim Yoon Yi) สะท้อนถึงความยากลำบากที่เด็กฝึกในวงการ K-pop ต้องเผชิญ จากการพลาดโอกาสเดบิวต์กับวง Hearts2Hearts ไปจนถึงการกลับมาอีกครั้งในฐานะผู้เข้าแข่งขันที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความสามารถในรายการ Our Ballad ความมุ่งมั่นและความสามารถของเธอยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟน ๆ อย่างต่อเนื่อง   ที่มา popcornfor2 รูป SBS

นักร้องสาว ควอนอึนบี ได้เปิดเผยเรื่องราวสุดซึ้งในรายการ “Don Makase” ตอนออกอากาศวันที่ 7 ตุลาคม โดยมี ฮงซอกชอน และ อีวอนอิล เป็นพิธีกร ซึ่งเธอได้พูดถึงครอบครัวและเส้นทางความสำเร็จของตัวเอง เมื่อถูกถามว่าครอบครัวภูมิใจในตัวเธอไหม ควอนอึนบียิ้มและตอบอย่างขำ ๆ ว่า “พวกเขาชอบอวดฉันตลอดเลยค่ะ ฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าอวดเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะห้ามไม่ได้แล้ว พวกเขามีความสุขมากจริง ๆ” จากนั้นควอนอึนบีได้เล่าเรื่องของพี่ชายที่มีอายุมากกว่าเธอเพียงหนึ่งปีว่า “พี่ชายของฉันแต่งงานแล้วค่ะ และฉันเป็นคนออกค่าใช้จ่ายงานแต่งทั้งหมดให้เขาเอง” เมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่ตัดสินใจทำเช่นนั้น เธอก็เล่าย้อนกลับไปถึงช่วงวัยรุ่นด้วยความประทับใจ “ตอนอยู่มัธยมต้น ฉันอยากเข้าโรงเรียนศิลปะมาก แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วยเพราะค่าใช้จ่ายสูง ตอนนั้นพี่ชายยังเรียนมัธยมปลายอยู่ แต่เขาแอบให้เงินฉันเพื่อใช้เรียนติวสอบเข้าโรงเรียนศิลปะ” น้ำใจเล็ก ๆ นั้นกลายเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยลืม “ฉันซึ้งใจมากในตอนนั้น และสัญญากับตัวเองว่า ‘สักวันหนึ่ง ถ้าฉันประสบความสำเร็จ ฉันจะตอบแทนพี่ชายให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม’ และฉันก็อยากทำตามสัญญานั้นค่ะ” หลายปีต่อมา หลังจากที่เธอประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวหลังจากวง IZ*ONE ยุบวง ควอนอึนบีก็สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าพี่ชายรู้สึกเกรงใจมากกับสิ่งที่เธอทำให้ “เราสองคนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ฉันพอจะรู้ว่าเขารู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ช่วยเขาเรื่องเงินอีก” เธอกล่าวต่ออย่างอ่อนโยนว่า “ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะช่วย เขาจะพูดแค่ว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องช่วยก็ได้’ มันทำให้ฉันรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกันค่ะ” ความจริงใจและความกตัญญูของควอนอึนบีทำให้ผู้ชมในรายการและชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมในความอบอุ่นและถ่อมตัวของเธอ โดยมองว่าเธอไม่เพียงเป็นศิลปินที่มีความสามารถ แต่ยังเป็นน้องสาวที่มีหัวใจงดงามอีกด้วย   ที่มา popcornfor2 รูป MBN