ฮาฮา (Haha) พิธีกรและนักแสดงวาไรตี้ชื่อดัง ปรากฏตัวในตอนล่าสุดของรายการวาไรตี้ ‘Boss in the Mirror’ ในรายการ ฮาฮาได้พบกับเชฟ จองจีซอน ซึ่งโด่งดังมาจากรายการแข่งขันทำอาหารของ Netflix เรื่อง ‘Culinary Class Wars’ โดยฮาฮาได้เปิดใจถึงความรู้สึกเสียใจที่เคยเข้าสู่วงการร้านอาหาร พร้อมประกาศว่าจะไม่ทำร้านอาหารอีกเลยหลังจากที่จัดการร้านที่มีอยู่ในตอนนี้ให้เสร็จสิ้น ฮาฮาเริ่มต้นธุรกิจร้านปิ้งย่างเกาหลีในปี 2014 ร่วมกับนักร้องและเพื่อนร่วมรายการ Running Man อย่าง คิมจงกุก (Kim Jong Kook) ภายใต้ชื่อร้าน ‘Haha & Kim Jong Kook’s 401 Restaurant’ ซึ่งฮาฮาเผยว่า เขาจำเป็นต้องปิดร้านไปแล้วสองแห่ง เพราะจ่ายค่าเช่าโดยไม่มีรายได้มาหลายปี เขายอมรับว่ารู้สึกทุกข์ใจมากจนถึงขั้นร้องไห้ทุกวัน และร้านที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อยๆ ฮาฮายังเล่าว่า หลังจากที่เขาขอโทษคิมจงกุกเกี่ยวกับสถานการณ์ของธุรกิจ คิมจงกุกก็ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาได้ “หมดหวังเรื่องเงินลงทุนคืนตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้วแล้ว”   ที่มา Popcornfor2 รูป KBS2

อีดงอุค (Lee Dong Wook) ตัดสินใจละทิ้งบทบาทเหนือธรรมชาติ เพื่อหันมารับบทที่สมจริงยิ่งขึ้น ในงานแถลงข่าวเปิดตัวซีรีส์ The Nice Guy ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา นักแสดงหนุ่มได้เปิดใจถึงการตัดสินใจรับบทนำในซีรีส์แนวนัวร์เรื่องใหม่นี้ ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนทิศทางครั้งสำคัญจากบทบาทในแนวแฟนตาซีที่เขาคุ้นเคยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ อีดงอุค ร่วมเวทีกับผู้กำกับซงแฮซอง (Song Hae Sung) และนักแสดงร่วมอย่าง อีซองคยอง (Lee Sung Kyung) โอนารา (Oh Na Ra) พัคฮุน (Park Hoon) และรยูฮเยยอง (Ryu Hye Young) โดยเขาเปิดใจถึงแรงบันดาลใจที่ดึงดูดให้เขาเลือกบทบาทที่มีความสมจริงและหนักแน่นทางอารมณ์ พร้อมเผยว่าถึงเวลาที่เขาควรเปลี่ยนแปลง อีดงอุค เปลี่ยนจากโลกแฟนตาซีสู่โลกแห่งความจริงใน The Nice Guy อีดงอุค เป็นที่รู้จักในบทบาทระดับตำนานจากซีรีส์แฟนตาซีอย่าง Goblin และ Tale of the Nine Tailed เขายอมรับว่าแม้แนวแฟนตาซีจะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า เขาเล่าว่า “มันเหนื่อยมากจริง ๆ ครับกับการต้องสร้างโลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ต้องห้อยโหนสลิงและลอยอยู่กลางอากาศ หรือกลายเป็นลุงจากอีกมิติหนึ่งครับ” การได้ร่วมงานใน The Nice Guy ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับมายืนบนพื้นดินอีกครั้ง “ตอนที่ผมอ่านบท The Nice Guy ผมรู้สึกเหมือนว่าในที่สุดเท้าของผมก็ได้กลับมายืนอยู่บนพื้นดินแล้ว ผมอยากแสดงอะไรที่สมจริงบ้างครับ” เขากล่าว อีดงอุค เผยว่าเขาได้นำตัวตนบางส่วนมาใส่ในบทบาทในซีรีส์ The Nice Guy อีดงอุค เผยว่าเขาเข้าถึงบทบาทในครั้งนี้ต่างออกไปจากผลงานที่ผ่านมา หากเทียบกับบทบาทแฟนตาซีที่ต้องเตรียมตัวอย่างหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ บทบาทใน The Nice Guy กลับเรียบง่ายและใกล้เคียงกับชีวิตจริงของเขามากกว่า “ผมไม่ได้เตรียมอะไรเป็นพิเศษเลยครับสำหรับบทนี้ มันเหมือนการแสดงในชีวิตประจำวันมากกว่าครับ” เขาอธิบาย ด้วยการลดทอนสิ่งปรุงแต่งลง เขาหวังว่าจะทำให้ผู้ชมได้เห็นตัวตนของเขามากขึ้นผ่านบทบาทนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้ทำในในอดีต เกี่ยวกับซีรีส์ The Nice Guy ใน The Nice Guy อีดงอุค รับบท “พัคซอกชอล” หลานชายคนโตของครอบครัวมาเฟียที่ครองอำนาจมาสามชั่วอายุคน ภายนอกเขาดูเป็นหนึ่งในทายาทสายอาชญากรรม แต่เบื้องลึกแล้วเขาเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวเกินคาด เนื้อเรื่องจะพาผู้ชมเข้าสู่การเดินทางทางอารมณ์ของ ซอกชอล ที่มีความสัมพันธ์กับ “คังมียอง” (รับบทโดย อีซองคยอง) นักร้องสาวที่กำลังดิ้นรนในชีวิต และเป็นรักแรกของเขา ซีรีส์แนวนัวร์เรื่องนี้ผสมผสานระหว่างความเข้มข้นและความอ่อนโยน ถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัว ความภักดีที่สามารถงอกงามได้แม้ในโลกที่โหดร้ายที่สุด The Nice Guy มีกำหนดออกอากาศตอนแรกในวันที่ 18 กรกฎาคม โดยจะเริ่มต้นด้วยการออกอากาศ 2 ตอนติดต่อกัน คาดว่าจะถูกใจผู้ชมที่มองหาซีรีส์ที่เน้นไปที่ตัวละคร เนื้อหาเข้มข้น และเชื่อมโยงกับความรู้สึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง มากกว่าความแฟนตาซีล้วน ๆ   ที่มา Popcornfor2 รูป JTBC

จางกึนซอก (Jang Geun Suk) นักแสดงชื่อดังที่รู้จักกันในฉายา “เจ้าชายแห่งเอเชีย” ซึ่งกำลังจะกลับมาปรากฏตัวในรายการวาไรตี้อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ผ่านรายการ Radio Star ตอนใหม่ที่กำลังจะออกอากาศ โดยเขาจะร่วมรายการพร้อมกับ ซูบิน (Soobin) วง TXT, อีฮงกี (Hongki) วง FTISLAND และคิมชินยอง (Kim Shin Young)  ในรายการ จางกึนซอกได้พูดถึงความตื่นเต้นที่ได้มาร่วมรายการ โดยบอกว่าเขาเฝ้ารอวันนี้มานาน ความรู้สึกอบอุ่นนี้ตามมาด้วยการเปิดเผยสุดสะเทือนใจว่า เขาเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ และได้ต่อสู้กับโรคนี้อย่างเงียบ ๆ นานถึงสิบเดือน “ตอนรอผ่าตัดสิบเดือนนั้น ผมยังไม่กล้าบอกแม้แต่กับครอบครัวเลย” — จางกึนซอก เขายอมรับว่าช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความเงียบงันและความไม่แน่นอนที่ถาโถมเข้ามา แต่โชคดีที่เขาสามารถเอาชนะโรคร้ายได้ และยังได้ค้นพบความหลงใหลในงานของตนเองขึ้นมาใหม่ “หลังจากหายดี ผมอยากกลับมายืนต่อหน้าผู้ชมให้มากขึ้น” — จางกึนซอก หลังจากรักษาตัวจนหายเป็นปกติ จางกึนซอกกลับมาเริ่มกิจกรรมอีกครั้งในประเทศญี่ปุ่น และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาก็เริ่มปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของเกาหลีอีกครั้ง รวมถึงในรายการยอดนิยม Chef & My Fridge 2 (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Please Take Care of My Refrigerator 2) นอกจากงานแสดงแล้ว เขายังได้พูดถึงการลองทำงานในแนวเพลงและการแสดงที่หลากหลาย ทั้งการแสดงริมถนน และดนตรี EDM เขายังพูดติดตลกว่า ตอนนี้ฐานแฟนคลับของเขาขยายกว้างจนถึงกลุ่มคนอายุ 70 ปี “แฟนคลับหลายคนของผมมีความคลั่งไคล้พอ ๆ กับคุณแม่ย่านคังนัมที่ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนดังๆ เลยครับ” เขากล่าวอย่างขบขัน บทสนทนาเปิดใจของจางกึนซอกกับแขกรับเชิญและพิธีกรในรายการ Radio Star เต็มรูปแบบจะออกอากาศในวันที่ 16 กรกฎาคม เวลา 22:30 น. (เวลาเกาหลี)   ที่มา Popcornfor2 รูป MBC

นักแสดงหนุ่ม โนแจวอน (Roh Jae Won) ผู้สร้างความประทับใจในบท “นัมกยู” จากซีรีส์ “Squid Game” ซีซั่น 3 กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากบทบาทที่แจ้งเกิด การแสดงอันเข้มข้น และคำตอบของเขาต่อคำถามสำคัญในเรื่อง ระหว่างการสัมภาษณ์ล่าสุดที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านซัมชองดง กรุงโซล โนแจวอน เล่าถึงประสบการณ์ระหว่างการถ่ายทำซีซั่นสุดท้ายของซีรีส์ Netflix ระดับโลกนี้ ใน ซีซั่น 3 โนยุนซอ รับบทเป็น นัมกยู โปรโมเตอร์คลับที่เคยรุ่งโรจน์ และเพื่อเข้าถึงตัวละครที่เปราะบางทางอารมณ์อย่าง นัมกยู นักแสดงหนุ่มจึงใช้วิธีการฝึกที่ไม่ธรรมดา เขาเล่าว่า “ผมฟังเพลงแปลก ๆ ที่มีจังหวะหนัก ๆ คนเดียวในสตูดิโอมืด ๆ แล้วก็เต้นไปกับมันครับ ผมอัดวิดีโอตัวเองโดยจินตนาการว่ากำลังเป็นยูทูบเบอร์พูดกับผู้ติดตาม และยังนึกภาพว่ามีตัวต่อคลานอยู่บนร่างกาย เพื่อให้รู้สึกไม่สบายตัวจริง ๆ ครับ” เขากล่าว “ความรู้สึกแบบนั้นช่วยให้ผมเชื่อมโยงกับตัวละครได้จริง ๆ ครับ” ฉากที่ นัมกยู ร้องเพลง K-pop “Love Scenario” จนกลายเป็นไวรัลนั้น ก็ได้รับความสนใจเกินคาด “ผมไม่คิดว่าจะมีคนทำพาโรดี้กันเยอะขนาดนี้” นักแสดงหนุ่มกล่าว “ฉากนั้นเล่นยากกว่าที่คิดมาก ผมใช้เวลาคิดเยอะเลยว่าจะทำยังไงให้มันดูสมจริงที่สุดครับ” การเตรียมตัวของ โนแจวอน ยังรวมถึงการตั้งใจไม่มองฉากถ่ายทำล่วงหน้าก่อนแสดงด้วย “เซ็ตถ่ายทำมันสุดยอดมาก มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกของ Squid Game จริง ๆ จนอยากถ่ายรูปเก็บไว้เลยครับ แต่ผมอยากรู้สึกเหมือนผู้เข้าแข่งขันที่เพิ่งเห็นฉากนั้นเป็นครั้งแรก เลยพยายามไม่มองเซ็ตก่อนถ่าย และมองมันครั้งแรกเฉพาะตอนอยู่หน้ากล้องเท่านั้น รายละเอียดทุกอย่างมันละเอียดสุด ๆ ไปเลยครับ” โนแจวอน ยังอธิบายแรงจูงใจของตัวละคร นัมกยู อย่างลึกซึ้ง โดยระบุว่า นัมกยู มอง ธานอส (รับบทโดย T.O.P) เป็นเหมือนแบบอย่าง และเกลียดการถูกดูแคลนจาก มินซู (รับบทโดย อีดาวิด) “นัมกยู ต้องการการยอมรับ เขาเกลียดการถูกเมินเฉย เขาอาจมองเห็นความคล้ายคลึงในตัวของ มยองกี (รับบทโดย อิมชีวาน) และรู้สึกว่าในที่สุดก็มีคนที่เขาเรียกว่า ‘คู่หู’ ได้สักทีครับ” การได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่าง ท็อป (T.O.P) ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ โนแจวอน เช่นกัน “คุณจะสัมผัสได้เลยว่าเขารักบท ธานอส มากแค่ไหน มันทำให้ผมอยากทุ่มเทมากขึ้นไปอีกครับ เขาเป็นคนที่คุณวางใจได้เวลาอยู่ในกองถ่าย แต่เพราะเราสนิทกันมากนอกจอ พอเข้าฉากจริงเลยต้องตั้งข้อตกลงกันเงียบ ๆ ว่า…ไม่พูดกันในฉากที่ซีเรียส แล้วค่อยกลับไปหยอกล้อกันทีหลังครับ” ในเรื่องนี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อชิงเงินรางวัล 45.6 พันล้านวอน (ราว 1,205 ล้านบาท) โนแจวอน กลับมองว่า นัมกยู ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเงินเลย “มันคือความรู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษ เป็นความตื่นเต้นจากการได้เป็นที่หนึ่งครับ” เขากล่าว “แต่ถ้าเขาได้รางวัลจริง ๆ ผมว่าเขาน่าจะจมลึกลงไปกับการเสพติดมากกว่าเดิมอีกครับ” ส่วนตัวของ โนแจวอน เอง เขาบอกว่าเขาคงเริ่มต้นด้วยการซื้อบ้านกับรถแต่ก็เสริมว่า “หลังจากเห็นคนตายมากมาย ผมว่าผมคงใช้ชีวิตให้ดีไม่ได้หรอกครับ ถ้าได้เงินแบบนั้น” สำหรับ โนแจวอน การถ่ายทำ Squid Game ซีซั่น 3 คือช่วงเวลาสำคัญในชีวิตการแสดง “โปรเจกต์นี้สะท้อนตัวตนของผมในช่วงที่ยังดิบมาก ๆ” เขากล่าว “หลังจากนั้นผมก็เติบโตและเปลี่ยนไปเยอะเลยครับ มีหลายฉากในซีซั่นนี้ที่แม้แต่ตัวผมในอนาคตก็น่าจะยังชื่นชมครับ” เขาปิดท้ายว่า “ผมอยากรับบทบาทที่ตัวผมในอนาคตจะภูมิใจเสมอครับ”   ที่มา Popcornfor2 รูป Netflix

อีดงกอน (Lee Dong Gun) และโจยุนฮี (Jo Yoon Hee) พบกันครั้งแรกจากละครเรื่อง The Gentlemen of Wolgyesu Tailor Shop ในปี 2016 และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยทั้งสองแต่งงานกันเพียงสองเดือนหลังจากยืนยันว่ากำลังคบหาดูใจกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวรักดั่งเทพนิยายนี้ก็จบลงอย่างกะทันหันในปี 2020 เมื่อทั้งคู่ประกาศหย่าร้างหลังใช้ชีวิตแต่งงานเพียง 3 ปี ทำให้แฟน ๆ ทั่วประเทศรู้สึกตกใจ ล่าสุด การหย่าระหว่างทั้งสองกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อทนายความ พัคมินชอล ปรากฏตัวในรายการ My Little Old Boy โดยแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนสนิทของอีดงกอน และยังเป็นผู้ดูแลคดีหย่าร้างของเขาอีกด้วย ทนายเผยว่า “จริง ๆ แล้วผมพยายามห้ามเขาไว้แล้ว ดงกอนกับภรรยามีมุมมองที่ต่างกันมากเกี่ยวกับการรักษาความเป็นครอบครัว ตลอดชีวิตที่ผมทำคดีหย่ามา เขาเป็นลูกค้าคนเดียวที่ผมขอร้องว่าอย่าหย่าเลย” หลังคำพูดของพัคมินชอล การสัมภาษณ์ของโจยุนฮีในปี 2024 จากรายการ All By Myself ของช่อง TV Chosun ก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง เธอกล่าวว่า “ไม่เคยคิดเลยว่าการหย่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน แต่สุดท้ายฉันก็เป็นคนตัดสินใจเอง เพราะมันไม่ใช่การแต่งงานแบบที่ฉันหวังไว้” เธอเสริมว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันในครอบครัวคือ ‘ความไว้ใจ’ และฉันตระหนักว่าเราไม่สามารถเป็นครอบครัวกันได้อีกต่อไป ฉันคิดทบทวนอย่างมากแล้ว และการหย่าก็ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่” โจยุนฮี ยังเล่าถึงการเติบโตของเธอว่า “พ่อแม่ของฉันไม่ค่อยลงรอยกัน ฉันจำความรู้สึกเย็นชา ตึงเครียดในบ้านได้ดี ฉันไม่อยากให้ลูกสาวต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนั้น” เธอกล่าวต่อว่า “ฉันไม่ได้กลัวที่จะเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ฉันเชื่อว่าฉันสามารถทำได้ดี และฉันก็มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ลูกเห็นพ่อของเธอในแง่ลบ” แม้อดีตคู่รักจะไม่ได้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัวอีกแล้ว แต่โจยุนฮีเปิดเผยว่าทั้งคู่ยังสื่อสารกันเป็นประจำเรื่องลูกสาว “ฉันส่งรูปให้เขา และเปิดโอกาสในการสื่อสารไว้ตลอด ถ้าลูกอยากโทรหาเขา ก็สามารถทำได้เสมอ” ขณะเดียวกัน อีดงกอนตกเป็นข่าวลือ อีดงกอน พบรักครั้งใหม่ด้านต้นสังกัดออกมาตอบข่าวนี้ ว่าเขากำลังคบหากับนักแสดงสาว คังแฮริม (Kang Hae Rim) ซึ่งอายุน้อยกว่าเขาถึง 16 ปี แม้ทั้งคู่จะไม่ออกมาให้ความเห็นใด ๆ แต่จากการพบเห็นด้วยกันหลายครั้งก็แทบจะยืนยันความสัมพันธ์นี้ได้แล้ว จนทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ โดยเฉพาะเมื่ออีดงกอนเคยประกาศไว้ว่าเขาจะไม่เดตกับใครอีกเพื่อให้เกียรติลูกสาวของเขา   ที่มา Popcornfor2 รูป My Little Old Boy

นักแสดงสาว อีซียอง (Lee Si Young) ซึ่งเพิ่งผ่านการหย่าร้างไปไม่นาน ได้ออกมาประกาศข่าวการตั้งครรภ์ของเธอแล้ว เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม อีซียองได้โพสต์ข้อความบนอินสตาแกรมส่วนตัว เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเธอด้วยตัวเอง ดังนี้ “สวัสดีค่ะ ฉัน อีซียอง ตอนนี้ฉันกำลังตั้งครรภ์ค่ะ เหตุผลที่ฉันเลือกมาเล่าเรื่องนี้ด้วยตัวเองก่อน ก็เพราะไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดหรือการคาดเดาต่าง ๆ ในอนาคต เมื่อ 8 ปีก่อน ขณะที่ฉันกำลังตั้งครรภ์ “จองยุน” (ลูกคนแรกของอีซียอง) ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันยังไม่ได้แต่งงาน และกำลังถ่ายละครอยู่ในตอนนั้น ตอนนั้นฉันยังอายุน้อยและยังไม่ค่อยโตเต็มที่เท่าไหร่ เมื่อเวลาผ่านไป ฉันได้เห็นจองยุนเติบโตขึ้นในอ้อมแขนของฉันทุกปี ฉันใช้เวลายาวนานในการโทษตัวเองและรู้สึกเสียใจกับช่วงเวลาที่เคยรู้สึกวิตกกังวลและคิดลบ แม้เพียงช่วงสั้น ๆ ก็ตาม เพราะเหตุนี้ ฉันจึงสัญญากับตัวเองว่า หากวันหนึ่งฉันได้รับพรให้มีลูกอีกคน ฉันจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจแบบนั้นอีก ในระหว่างที่ฉันแต่งงาน ฉันได้เริ่มเตรียมตัวเพื่อมีลูกคนที่สองผ่านกระบวนการ IVF (การปฏิสนธินอกร่างกาย) แต่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน โดยที่ยังไม่ได้มีการฝังตัวอ่อน และสุดท้ายก็เริ่มมีการพูดคุยเรื่องการหย่าร้าง พอดีกับช่วงที่คดีความทางกฎหมายทั้งหมดกำลังดำเนินไป ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งไว้ก็ใกล้จะหมดอายุการจัดเก็บครบ 5 ปี ฉันจึงต้องตัดสินใจ ก่อนที่ตัวอ่อนจะถูกกำจัดทิ้ง ฉันเลือกด้วยตัวเองที่จะฝังตัวอ่อนนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วย ฉันก็ยินดีที่จะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยตัวฉันเอง ฉันปรารถนาจะมีลูกมาโดยตลอด และไม่อยากให้ตัวเองต้องเสียใจซ้ำอีกเหมือนตอนที่มีจองยุน ฉันไม่สามารถปล่อยให้ตัวอ่อนที่กำลังจะหมดอายุจัดเก็บถูกทิ้งไปได้ลง แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตแต่งงาน สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันเดินหน้าต่อได้ก็คือ ลูกน้อยผู้น่ารักของฉัน ผู้ที่เติมเต็มชีวิตของฉันด้วยความสุข ความหวัง และแรงบันดาลใจ ลูกคนนี้คือปาฏิหาริย์ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าการที่ใครสักคนเรียกฉันว่า “แม่” คือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายรออยู่ข้างหน้า และฉันเองก็พิจารณาความเป็นไปได้ทุกรูปแบบแล้ว แต่กระนั้น ฉันก็ยังอยากเชื่อว่าเส้นทางที่ฉันเลือกในตอนนี้ คือทางเลือกที่มีความหมายมากกว่า ฉันยังเชื่อว่า นี่คือหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน เมื่อมองย้อนกลับไป สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉันมาตลอด ก็คือลูกของฉัน ผ่านช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์เช่นนี้ ที่ค่อย ๆ เติมเต็มช่องว่างในชีวิตอันไม่สมบูรณ์ของฉัน และมอบพลังที่ฉันไม่รู้มาก่อนว่าตนเองมีอยู่ ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันค่อย ๆ สมบูรณ์มากขึ้นทีละนิด ตอนนี้ ฉันมีเพียงความรู้สึกขอบคุณอย่างที่สุดต่อชีวิตใหม่ที่มาหาฉัน และกำลังใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างสงบสุขและมีความสุขกว่าที่เคยเป็นมา ฉันจะยอมรับคำวิจารณ์หรือคำแนะนำใด ๆ ด้วยความถ่อมตนและเปิดใจ และด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความขอบคุณต่อลูกน้อยที่เลือกจะมาหาฉันอีกครั้งแม้ฉันจะยังไม่สมบูรณ์แบบ ฉันจะใช้ชีวิตด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกของฉันจะไม่ขาดสิ่งใด แม้ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว ขอบคุณที่อ่านข้อความยาว ๆ นี้จนจบค่ะ” ขอแสดงความยินดีกับอีซียอง และขออวยพรให้เธอและลูกน้อยแข็งแรงปลอดภัยตลอดการตั้งครรภ์และเส้นทางใหม่ในชีวิตที่กล้าหาญนี้   ที่มา Popcornfor2 รูป Yonhap News