นักแสดง อีพิลโม ได้เผยความคิดถึงที่มีต่อคุณแม่ผู้ล่วงลับ ในรายการวาไรตี้ของช่อง Channel A “절친 토큐멘터리 – 4인용 식탁” ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ได้เผยให้เห็นชีวิตประจำวันของอีพิลโม นักแสดงที่เดบิวต์มากว่า 27 ปี เขาได้เชิญเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยโซลอาร์ตปี 1993 อย่าง อีจงฮยอก และ คิมมินคโย มาที่บ้าน เมื่อถูกถามว่า “คุณแม่เก่งด้านการลงทุนไหม” อีพิลโมตอบว่า “ใช่ครับ ผมเป็นคนที่จัดการเรื่องเงินไม่เก่งที่สุดเลย สมัยก่อนเรามีบ้านอยู่แถวบังแบดง แต่แม่ก็ขยับขยายไปซื้อเพิ่ม จนตอนนี้ที่ผมพอมีฐานะทางการเงินก็เป็นเพราะแม่ทั้งหมด” พร้อมทั้งแสดงความกตัญญู เขายังเล่าว่า “คุณพ่อมีลูกสามคนแต่ไม่เคยทำงานหาเงินเลย ใช้ชีวิตแบบเกือบจะไม่ทำอะไร แม่ผมเป็นคนเดียวที่รับผิดชอบเรื่องการเงินของบ้านมาตลอด” อีพิลโมเผยอีกว่า “แม่ใช้ชีวิตแบบประหยัดมาตลอด เวลาผมได้ค่าตัวจากการแสดง ถ้าเป็นไม่กี่ล้านวอนผมก็ใช้เอง แต่ถ้าเกินสิบล้านวอนผมจะให้แม่ทั้งหมด แบบนี้ตลอด 20 ปี” เขาเล่าว่า “แม่เอาเงินเหล่านั้นไปลงทุน เป็นสิ่งที่ท่านไม่เคยทำมาก่อนด้วยซ้ำ บางครั้งระหว่างที่ผมถ่ายละคร แม่จะโทรมาแล้วบอกว่า ‘รีบมาเซ็นเอกสารหน่อย’ ผมไปดูอีกทีก็กลายเป็นตึกไปแล้ว” อีพิลโมยังกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทุกครั้งที่ผมต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต ถ้าปรึกษาแม่ ท่านจะชี้ทางออกให้เสมอ ด้วยสายตาที่เฉียบคมของแม่ ทำให้ผมสามารถเดินบนเส้นทางนักแสดงมาได้จนถึงวันนี้” อย่างไรก็ตาม คุณแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองในเดือนมีนาคม 2023 เขากล่าวทั้งน้ำตาว่า “ตอนแม่จากไป ผมอยากทำทุกอย่างที่ดีที่สุดให้ท่านในเส้นทางสุดท้ายของชีวิต จึงจัดงานศพโดยใช้พื้นที่ทั้งชั้น พร้อมทั้งเตรียมอาหารและพิธีต่าง ๆ โดยไม่คิดถึงค่าใช้จ่าย” เขายังรำลึกถึงความทรงจำสุดท้ายกับแม่ว่า “ครั้งหนึ่งแม่ไปเที่ยวเชจูและได้นั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก ท่านดีใจเหมือนเด็กผู้หญิงที่ตื่นเต้นกับการบิน ภาพนั้นยังชัดเจนในใจผมมาก ผมชอบความทรงจำนั้นมากจนปีที่แล้วผมเดินคนเดียวครบ 100 กม. บนเส้นทางเซกวีโพ 11 คอร์ส ระหว่างเดินก็คิดถึงแม่จนร้องไห้ออกมา” อีพิลโมเผยว่าเขายังเก็บเสื้อผ้าที่แม่ใส่ในวันที่เข้าโรงพยาบาลไว้จนถึงตอนนี้ เขายังเปิดใจด้วยความเจ็บปวดว่า “ผมยังไม่กล้าบอกพ่อว่าคุณแม่เสียแล้ว หลังแม่เข้าโรงพยาบาลได้สี่วัน พ่อก็ต้องเข้ารักษาเหมือนกัน และแม่ก็จากไปในอีกสามเดือนต่อมา ตอนนี้พ่อหูไม่ค่อยดี ความจำก็ถดถอย ผมเลยไม่รู้จะบอกยังไงจนถึงตอนนี้” เขาเสริมว่า “ผมคิดว่าพ่อก็คงรู้สึกได้บ้าง แต่ท่านไม่เคยถามเรื่องแม่เลย แม้เวลาผ่านมา 2 ปีแล้วก็ยังไม่เคยพูดถึง บางครั้งผมเลยคิดว่า ‘หรือพ่อจะลืมแม่ไปแล้ว’” เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ พัคคยองลิม ที่อยู่ในรายการด้วยกล่าวปลอบใจว่า “บางทีคุณพ่ออาจจะไม่ได้อยากไม่ถาม แต่เพราะถ้าถามแล้วได้รับคำตอบ ก็เท่ากับความจริงเรื่องการจากไปของแม่ชัดเจนขึ้น พอไม่ถามไม่ฟัง มันก็ยังเหลือความหวังอยู่นะ”   ที่มา Popcornfor2 รูป Channel A

ฮันกาอินเปิดใจถึงสาเหตุที่เธอมีเพื่อนในวงการบันเทิงไม่มาก พร้อมเล่าถึงมิตรภาพพิเศษที่เธอมีกับ ชินฮยอนบิน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ร่วมงานกันในละคร Mistress เมื่อปี 2018 และยังคงแน่นแฟ้นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ช่องยูทูบส่วนตัวของเธอ “Free Wife Han Ga In” (ฮันกาอินภรรยาที่แสนอิสระ) ได้เผยแพร่วิดีโอในหัวข้อ “ฮันกาอิน ที่แทบไม่มีเพื่อนดารา ได้พบกับเพื่อนแท้ นักแสดงชินฮยอนบิน (อัปเดตจากจางกยออูล แห่ง Hospital Playlist)” ในวิดีโอนั้น ฮันกาอินได้นั่งพูดคุยและรับประทานอาหารกับเพื่อนสนิทอย่างชินฮยอนบิน ทั้งคู่เริ่มสนิทกันจากการทำงานร่วมกันในละคร Mistress ทางช่อง OCN เมื่อปี 2018 และยังรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อเนื่องมากว่า 8 ปี เครดิตภาพ ช่อง YouTube ฮันกาอิน ระหว่างมื้ออาหาร ฮันกาอินยอมรับว่า “ฉันแทบไม่มีเพื่อนในวงการบันเทิงเลย ส่วนใหญ่คนที่ฉันสนิทจะเป็นคุณแม่จากโรงเรียนลูก ๆ หรือเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ ฮยอนบินเป็นเพื่อนดาราไม่กี่คนที่ฉันมีจริง ๆ” เธอยังอธิบายเพิ่มเติมว่า “เวลารู้จักเพื่อนผ่านการทำงาน มันไม่ง่ายที่จะเปิดใจอย่างเต็มที่ เพราะด้วยลักษณะงานของเรา ทำให้เราต้องสร้างกำแพงขึ้นมา และทำให้ยากที่จะเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกไป” ย้อนถึงช่วงถ่ายทำ Mistress ฮันกาอินเล่าว่า “ตอนนั้นพวกเราสี่คนคุยกันเยอะมาก รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กมัธยมที่สนิทกันสุด ๆ” ชินฮยอนบินก็เห็นด้วย โดยบอกว่าบรรยากาศเหมือนกับอยู่หอพักด้วยกันเลย นอกจากนี้ ฮันกาอินยังเผยว่าเธอมักจะติดตามและสนับสนุนผลงานใหม่ ๆ ของชินฮยอนบินเสมอ แสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นและความจริงใจในมิตรภาพที่ยืนยาวของทั้งคู่   ที่มา Popcornfor2 รูป ‘Free Wife Han Ga In’ YouTube Channel

ในวันที่ 10 กันยายน รายการเว็บวาไรตี้ของ JTBC “นาเรชิก” ได้เผยแพร่ตอนใหม่ โดยมีสองนักแสดงนำจากซีรีส์วันศุกร์ JTBC “My Youth” อย่าง ซงจุงกิ และ ชอนอูฮี มาร่วมสร้างสีสันด้วยการพูดคุยแบบเป็นกันเองและอารมณ์ขัน ในรายการ พิธีกร พัคนาเร ได้จัดโต๊ะอาหารอย่างเต็มที่เพื่อเลี้ยงแขกรับเชิญทั้งสองคน เมนูที่คัดสรรอย่างใส่ใจทำให้ชอนอูฮีถึงกับเอ่ยว่า “ดีใจมากที่ได้มาทานอาหารที่เคยเห็นแค่ในคลิปวิดีโอ” ซงจุงกิเองก็สารภาพว่า “ผมไม่ได้กินอาหารเกาหลีมาหลายเดือน เพราะติดตารางงานต่างประเทศ จริง ๆ กลับมาเกาหลีได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่ตั้งใจอดอาหารเกาหลีไว้เพื่อมากินที่นี่” ทำเอาพัคนาเรถึงกับประหลาดใจ ก่อนจะโล่งใจเมื่อเห็นแขกรับเชิญกินอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมเปล่งเสียงด้วยความพอใจ ซงจุงกิถึงกับยกมือไฮไฟว์เพิ่มความสนุกในบรรยากาศ นอกจากนี้ ชอนอูฮียังเผยประสบการณ์ “อยากลองออกนอกลู่นอกทาง” โดยเล่าว่าเคยไปคลับกับเพื่อนนักแสดงหลังดูรายการเต้น แต่พอไปจริงกลับอายจนไม่กล้าเต้น สุดท้ายก็นั่งดื่มจนง่วงและกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน ทำให้บรรยากาศในสตูดิโอเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างคือภาพลักษณ์หน้าเด็กของทั้งสองนักแสดง เมื่อเจอครั้งแรก พัคนาเรถึงกับเอ่ยว่า “ทั้งคู่หน้าเหมือนกันมากเลย ดูเหมือนวัย 20 ต้น ๆ” ชอนอูฮีรีบโบกมือปฏิเสธด้วยความเขินว่า “พูดแบบนี้ไม่ได้นะคะ” ซงจุงกิ เผยความรู้สึกดีใจสุดๆ หลังถูกชมว่าดูอ่อนเยาว์เหมือนอยู่ในวัย 20 ต้น ๆ เขากลับตอบติดตลกว่า “เมื่อก่อนผมเขินมากเวลาได้ยินแบบนี้ แต่ตอนนี้ชอบสุด ๆ เลยครับ อยากให้ชมเยอะ ๆ กว่านี้อีก” เรียกเสียงหัวเราะสนั่นกองถ่าย ด้านนักแสดงซงจุงกิได้แชร์เรื่องราวไม่คาดคิดจากชีวิตวัยมหาวิทยาลัยของเขา โดยซงจุงกิได้ย้อนเล่าถึงชีวิตวัยเรียนว่า “ตอนนั้นผมเป็นนักเรียนตัวอย่างจริง ๆ … พูดตรง ๆ ก็คือเป็นเด็กน่าเบื่อมาก” เมื่อพัคนาเรแซวว่า “สมัยนั้นมีแต่เด็กผู้หญิงจากโรงเรียนข้าง ๆ มาตามดูคุณแน่ ๆ” เขาก็หัวเราะพร้อมตอบว่า “เพื่อน ๆ มาบอกผมทีหลัง แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลย จริง ๆ แล้วผมเป็นนักเรียนที่โฟกัสกับการเรียนอย่างเดียว น่าเบื่อสุด ๆ” แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ชีวิตก็เปลี่ยนไป “อาจเพราะช่วงมัธยมผมใช้ชีวิตเรียบง่ายเกินไป พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยออกนอกลู่นอกทาง ผมเริ่มไม่สนเรียน ไม่สนเข้าคลาส รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง จนสุดท้ายโดนใบเตือนทางวิชาการเลยครับ” เขาสารภาพตรง ๆ ก่อนเสริมว่า “แต่นั่นแหละเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า ‘อยากใช้ชีวิตทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ’ และนั่นก็นำผมมาสู่เส้นทางนักแสดง” ปัจจุบันในอีกบทบาทหนึ่งของชีวิต ซงจุงกิได้สะท้อนถึงการเป็นทั้งสามีและคุณพ่อว่า “หลายคนบอกว่าช่วงวัยหนุ่มของผมผ่านไปแล้ว แต่ผมคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลย การมีครอบครัวทำให้ผมมีทั้งความรับผิดชอบและพลังใจเพิ่มขึ้น การได้ดูแลใครสักคนทำให้ผมมีแรงจูงใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป” ซงจุงกิยังได้เผยถึงกิจวัตรการเดินเล่นยามเช้าแถวอิแทวอนอีกด้วย ระหว่างรายการ พัคนาเรได้ถามว่า “คุณซงจุงกิอายุเท่าฉันใช่ไหมคะ?” ซงจุงกิตอบว่า “ผมก็ทราบอย่างนั้นครับ แล้วเรายังเป็นคนในละแวกเดียวกันอีกนะ ผมเวลาเดินเล่นบางทีก็ผ่านหน้าบ้านคุณนาเรด้วย แต่ไม่เคยเจอเลย ที่นั่นยังมีพี่มยองซูอยู่ด้วย” จากนั้นพัคนาเร ถามต่อว่า “ปกติเดินเล่นช่วงกี่โมงคะ?” ซงจุงกิตอบว่า “เช้าประมาณ 7–9 โมงครับ” พัคนาเรเลยหัวเราะพร้อมบอกว่า “งั้นไม่มีทางได้เจอแน่เลย เพราะเวลาออกจากบ้านฉันคือเที่ยงถึงตี 3” ชอนอูฮีจึงถามย้ำว่า “หมายถึงเที่ยงวันใช่ไหมคะ?” พัคนาเรรีบตอบ “ไม่ค่ะ เที่ยงคืน” ทำเอาบรรยากาศในรายการครึกครื้น ซงจุงกิยังพูดเสริมอีกว่า “ในเมื่อเราเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ช่วยเชิญผมไปบ้านสักครั้งได้ไหมครับ” ด้านชอนอูฮีก็รีบบอกว่า “ฉันก็อยากไปมากค่ะ แต่ถ้าไป นาเรบาร์ ต้องทำใจเลยนะว่าจะกลายเป็น 2 คืน 3 วัน กินเหล้า นอน ตื่นขึ้นมาก็ดื่มต่ออีก” พัคนาเร จึงตอบขำ ๆ ว่า “ไม่ถึงกับต้องทำใจหรอกค่ะ แต่ที่ผ่านมาแขกหลายคนก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ” สร้างเสียงหัวเราะในรายการ รายการ “นาเรชิก” ที่เผยเสน่ห์รอบด้านของซงจุงกิและชอนอูฮี ออกอากาศวันที่ 10 กันยายน เวลา 18.30 น. ทางยูทูบช่อง “นาเรชิก”   ที่มา Popcornfor2 รูป JTBC