ตามรายงานของ The Hollywood Reporter ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน (ตามเวลาท้องถิ่น) Netflix ได้มอบโบนัสจำนวนประมาณ 15 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 547 ล้านบาท) ให้กับ Sony Pictures เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนจากความสำเร็จระดับโลกของภาพยนตร์เรื่อง KPop Demon Hunters การจ่ายโบนัสเพิ่มเติมนี้ทำให้กำไรทั้งหมดของ Sony Pictures จากโปรเจกต์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นราว 40 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,460 ล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่รวมกับต้นทุนการผลิตจำนวน 100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,640 ล้านบาท) และรายได้อีก 25 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 910 ล้านบาท) ที่ Sony Pictures เคยได้รับจาก Netflix ก่อนหน้านี้ ข่าวดีเพิ่มเติมคือ Netflix และ Sony Pictures ได้ลงนามข้อตกลงสร้างภาคต่อของ KPop Demon Hunters ซึ่งมีกำหนดออกฉายในปี 2029 ตามรายงานของ Variety กำหนดการที่ยาวนานนี้สะท้อนถึงกระบวนการผลิตที่ใช้เวลามากตามแบบของภาพยนตร์แอนิเมชัน เดิมที KPop Demon Hunters ถูกวางแผนให้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก ทำให้ Sony Pictures ตัดสินใจขายสิทธิ์จัดจำหน่ายให้กับ Netflix ในปี 2021 Netflix ได้เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ทั่วโลกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และกระแสตอบรับเรียกได้ว่าระเบิดความนิยม—ยอดเข้าชมทะลุ 300 ล้านครั้ง กลายเป็นภาพยนตร์ที่มียอดผู้ชมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Netflix จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ เพลงประกอบภาพยนตร์ (OST) ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เพลง “Golden” สามารถขึ้นอันดับ 1 บน U.S. Billboard Hot 100 และ UK Official Singles Chart ได้พร้อมกัน และที่น่าภาคภูมิใจยิ่งกว่า คือเพลง Golden ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Awards ถึง 5 สาขา รวมถึงรางวัลใหญ่ Song of the Year อีกด้วย   ที่มา popcornfor2 รูป Netflix

ตามรายงานจาก Maeil Business Star Today เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า BLACKPINK ได้เลื่อนการคัมแบ็กที่เดิมคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ออกไปเป็นเดือน มกราคม 2026 การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพของผลงานใหม่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้สอดคล้องกับตารางการออกทัวร์รอบโลกของวง ก่อนหน้านี้ มีรายงานจากสื่อหลายสำนักว่า BLACKPINK กำลังเตรียมคัมแบ็กในช่วงกลางเดือนธันวาคม ขณะนั้น YG Entertainment ได้ตอบกลับว่า “ยังไม่ได้กำหนดวันที่อย่างเป็นทางการ” แต่ยืนยันว่า วงได้ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตอัลบั้ม ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าการกลับมาของพวกเธอใกล้เข้ามาเต็มที “อัลบั้มอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์แบบทางดนตรี เมื่อทุกอย่างพร้อม เราจะมีข่าวดีแจ้งให้ทราบผ่านการโปรโมตอย่างเป็นทางการ” – YG Entertainment อัลบั้มเต็มล่าสุดของ BLACKPINK คือ BORN PINK ที่ปล่อยออกมาในเดือนกันยายน ปี 2022 หากอัลบั้มใหม่เปิดตัวในเดือนมกราคม 2026 นี่จะเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกในรอบกว่าสองปีของพวกเธอ โดยซิงเกิ้ลล่าสุด “JUMP” ได้ถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมาชิกแต่ละคนของ BLACKPINK มุ่งเน้นไปที่กิจกรรมเดี่ยว เสริมสร้างอิทธิพลในระดับโลกในฐานะศิลปินเดี่ยว แต่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา วงได้กลับมาออกทัวร์ทั่วโลกอีกครั้งในคอนเสิร์ต “DEADLINE World Tour” โดยเริ่มต้นที่เมืองโกยาง และในเดือนสิงหาคม พวกเธอยังได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีวงแรกที่ขึ้นแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวที่สนามกีฬา Wembley Stadium อันโด่งดังในสหราชอาณาจักร BLACKPINK เดบิวต์ในเดือนสิงหาคม ปี 2016 และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ของการทำงานในปี 2026 การคัมแบ็กในเดือนมกราคมจึงกลายเป็นการเปิดฉากปีแห่งการเฉลิมฉลองครั้งสำคัญ แฟน ๆ ทั่วโลกต่างตั้งตารอว่า นี่อาจเป็นหนึ่งในการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเส้นทางอาชีพของพวกเธอ   ที่มา popcornfor2 รูป YG Entertainment

“ฉันกล้าแสดงออกแค่ตอนที่กล้องเปิดเท่านั้น” แฮวอน (Haewon) จากวง NMIXX กลายเป็นขวัญใจคนดูและได้รับการยกย่องให้เป็น “ไอดอลวาไรตี้ตัวแทนของ JYP Entertainment” หลังแสดงเสน่ห์เฉพาะตัวและไหวพริบสุดตลกในการปรากฏตัวล่าสุดในรายการ Salon Drip ของช่อง YouTube TEO เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ช่อง TEO ได้ปล่อยตอนที่ 113 ของรายการพูดคุยชื่อดัง Salon Drip ซึ่งมีแขกรับเชิญคือสองสมาชิกจาก NMIXX ได้แก่ ลิลี่ (Lily) และ แฮวอน (Haewon) พิธีกร จางโดยอน (Jang Do Yeon) ได้พูดถึงศิลปินของค่าย JYP ว่ามักมีความโดดเด่นในรายการวาไรตี้ “ศิลปินจาก JYP ที่มารายการนี้แต่ละครั้งมักจะได้รับคำชมในเรื่องความตลกและเคมีที่ดีต่อหน้ากล้อง” “ในบรรดาศิลปินเหล่านั้น มีชื่อของแฮวอนถูกพูดถึงบ่อยมากว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านวาไรตี้โดยธรรมชาติ” สมาชิกวงอย่าง ลิลี่ ก็เห็นด้วยทันที “ตั้งแต่แรกที่เจอกัน เธอตลกมากจริง ๆ ค่ะ ฉันไม่เคยเจอใครที่ทำให้ฉันหัวเราะได้ขนาดนี้มาก่อนเลย!” แฮวอนได้อธิบายว่า ถึงจะชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ แต่สไตล์ความตลกของเธอแตกต่างกันระหว่างเวลาที่อยู่หน้ากล้องกับตอนอยู่นอกจอ “เวลาที่ไม่ได้ถ่ายรายการ ฉันชอบเล่นมุกด้วยคำพูด แต่พออยู่ในรายการ ภาพลักษณ์ฉันจะดูวุ่นวายมากหน่อยค่ะ (หัวเราะ)” “เพื่อน ๆ ยังโทรมาถามเลยว่า ‘เธอเป็นอะไรไป ทำไมถึงเป็นแบบนั้นในรายการ!’” เธอยังเผยด้วยว่า ตัวเองเป็นคน อินโทรเวิร์ต (I) ตาม MBTI “พอกล้องเปิด มันเหมือนฉันมีเหตุผลให้พูดได้ค่ะ มันเป็นข้ออ้างให้ฉันเล่นมุกหรือพูดอะไรตลก ๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าคนจะเข้าใจผิด” จางโดยอนรีบเห็นด้วย “จริงมากเลยค่ะ! แม้แต่ฉันเอง เวลาถ่ายจบแล้วไม่มีไมค์ ก็ยังรู้สึกประหม่าเหมือนกัน” การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมานี้ทำให้คนดูหัวเราะกันทั้งสตูดิโอ และยังเผยให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความเข้าใจตัวเองของแฮวอน ซึ่งทำให้เธอโดดเด่นอย่างรวดเร็วในบรรดาไอดอลเจน 4 แฮวอนได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ “ไอดอลวาไรตี้แห่ง JYP” รุ่นพี่ชื่อดังอย่าง นิชคุณ (2PM), นายอน (TWICE) และ ยูนา (ITZY) ด้วยไหวพริบตามธรรมชาติ ปฏิกิริยาที่ตลกน่ารัก และเสน่ห์มั่นใจในตัวเอง แฮวอนจึงถูกยกให้เป็นหนึ่งในดาวรุ่งวาไรตี้ที่น่าจับตามองที่สุดของวงการ K-pop ในตอนนี้

พัคจินยอง หัวเรือใหญ่แห่ง JYP เผยความรักและเอ็นดูที่มีต่อศิลปินในค่ายบอก “ราคาทองขึ้นอีกแล้ว” พูดอย่างภูมิใจ ในรายการ “Radio Star” ที่จะออกอากาศวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ จะมีแขกรับเชิญคือ พัคจินยอง, อันโซฮี, บูม และ ควอนจินอา พัคจินยองพูดถึงเรื่องที่เขาได้รับข้อเสนอให้เป็น “ประธานร่วมคณะกรรมาธิการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมสมัยนิยม” เมื่อพิธีกร คิมกูรา กล่าวว่า “แม้จะเป็นตำแหน่งไม่ประจำแต่ก็ได้รับการปฏิบัติในระดับรัฐมนตรีเลยนะ” พัคจินยองตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่พวกเขาก็ยังติดต่อมาเรื่อย ๆ” และเผยเหตุผลที่ในที่สุดตัดสินใจรับตำแหน่งนี้ พร้อมกล่าว “แถลงการณ์อย่างเป็นทางการ 1 นาทีแรกและครั้งสุดท้าย” สร้างความน่าสนใจให้ผู้ชม นอกจากนี้ พัคจินยองยังแสดงความรักที่มีต่อ อันโซฮี อดีตสมาชิก Wonder Girls ที่ตอนนี้เป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว เขากล่าวว่า “โซฮีคือเพื่อนสนิทของผม เธอเป็นเด็กที่อ่อนโยนและจิตใจดีมาก” พร้อมเผยเบื้องหลังว่าทำไมถึงถ่ายวิดีโออวยพรในงานแฟนมีตติ้งเดี่ยวของโซฮีกลางสายฝนที่อิตาลี สร้างเสียงหัวเราะให้ทั้งสตูดิโอ ทั้งคู่ยังเต้นด้วยกันสด ๆ โชว์เคมีที่เข้ากันได้ดีแม้ผ่านไป 14 ปี เมื่อมีการพูดถึงการที่ JYP ติดอันดับ 3 ของโลก และ อันดับ 1 ของเกาหลี ในรายชื่อ “บริษัทที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนที่สุดในโลก” โดยนิตยสาร TIME, พัคจินยองกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนในบริษัทเราจริง ๆ ผมคิดว่าระบบที่มีความจริงใจ ในที่สุดมันจะได้ผลตอบแทนกลับมา” และยังพูดติดตลกว่า “ตึกเก่าของ JYP สร้างโดย Rain และ Wonder Girls ส่วนตึกใหม่สร้างโดย Stray Kids และ TWICE” เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน พัคจินยองยังพูดถึงความภาคภูมิใจใน Stray Kids ที่ทำสถิติ ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard ถึง 7 ครั้งติดต่อกัน ว่า “เด็กพวกนี้มีเอกลักษณ์ของตัวเองจริง ๆ สิ่งที่ผมทำได้คือปูทางให้พวกเขาเท่านั้น” พร้อมเปิดเผยว่าเขาได้มอบของขวัญเป็นทองคำมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านวอน (ประมาณ 2.7 ล้านบาท) ให้กับ Stray Kids “ช่วงนี้ราคาทองขึ้นอีกแล้วนะ” เขาพูดพลางหัวเราะ นอกจากนี้ เขายังเล่าแผนที่จะเปิด “ร้านอาหารออร์แกนิก” และ “บริการส่งข้าวกล่องออร์แกนิก” ภายในอาคารสำนักงานใหม่ โดยบอกว่า “เรื่องอาหารก็เหมือนกับดนตรี ความจริงใจคือสิ่งสำคัญที่สุด” เผยให้เห็นปรัชญาการใช้ชีวิตของเขา ท้ายสุด พัคจินยองยังพูดถึงครอบครัวและลูกสาวสองคนของเขา โดยยิ้มอย่างภูมิใจ “คนโตเต้นเก่ง ส่วนคนน้องร้องเพลงเก่ง” เผยให้เห็นชัดว่าพวกเธอได้ “ดีเอ็นเอนักร้อง” จากพ่อมาเต็ม ๆ การพูดคุยอย่างจริงใจและโชว์เพลงใหม่ของพัคจินยองจะออกอากาศในรายการ “Radio Star” วันที่ 5 พฤศจิกายน เวลา 22.30 น. (ตามเวลาเกาหลี)   ที่มา popcornfor2 รูป MBC

Stray Kids พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสามารถของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบนเวทีหรือชาร์ตเพลงเท่านั้น เพราะล่าสุด พวกเขากำลังสร้างกระแสอย่างร้อนแรงในวงการเพลงประกอบซีรีส์และภาพยนตร์ (OST) โดยได้รับคำชื่นชมในด้านอารมณ์อันลึกซึ้งและความหลากหลายของแนวเพลงที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม กลุ่มศิลปินหนุ่มได้สร้างผลงานเพลงประกอบละครอันโดดเด่นไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “NeverEnding Story” สำหรับซีรีส์ “Extraordinary You” ทางช่อง MBC, เพลง “TOP” และ “SLUMP” สำหรับอนิเมะ “Tower of God” รวมถึงผลงานล่าสุดอย่าง “SLASH” สำหรับภาพยนตร์ “Marvel’s Deadpool & Wolverine” ด้วยเสียงร้องที่ทรงพลังและเอกลักษณ์อันหลากหลาย Stray Kids จึงกลายเป็นหนึ่งในศิลปินไอดอลที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในสายงาน OST เมื่อไม่นานมานี้ สมาชิกแต่ละคนก็ได้แสดงศักยภาพเฉพาะตัวผ่านโปรเจกต์เพลงประกอบเดี่ยวและยูนิตย่อย โดย ฮัน (Han), เฟลิกซ์ (Felix) และ ไอเอ็น (I.N) ได้ร่วมร้องเพลง “GENIE” เพลงประกอบของซีรีส์ “Genie, Make a Wish” ทาง Netflix พวกเขาถ่ายทอดอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนและอบอุ่น สอดคล้องกับโทนความรู้สึกของเรื่องได้อย่างลงตัว มิวสิกวิดีโอพิเศษของเพลงนี้ที่เผยแพร่ทางช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Netflix Korea ยังได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ชมและแฟน ๆ ทั่วโลกอีกด้วย ขณะเดียวกัน ลีโน (Lee Know), ซึงมิน (Seungmin) และ ไอเอ็น (I.N) ก็ได้ปล่อยเพลง “START!” ซึ่งเป็นเพลงประกอบหลักเพลงแรกของซีรีส์ทางช่อง tvN เรื่อง “Resident Playbook” สำหรับ “START!” เป็นเพลงที่เต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ ถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มแพทย์ประจำบ้านวัยหนุ่มสาวที่กำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต ด้วยเนื้อเพลงที่สดใสและเต็มไปด้วยความหวัง เพลงนี้สื่อถึงการสลัดอดีตอันหนักหน่วงเพื่อก้าวสู่ปัจจุบัน และกล้าที่จะเดินต่อไปในอนาคตอย่างมั่นใจ ซึงมิน (Seungmin) ยังได้โชว์น้ำเสียงอันอบอุ่นและเปี่ยมอารมณ์ของเขาอีกครั้งผ่านเพลง “It Has to Be You” เพลงประกอบของซีรีส์ “Would You Marry Me?” ทางช่อง SBS ด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกแต่ทรงพลังของเขา ช่วยยกระดับอารมณ์ของซีรีส์ได้อย่างงดงาม โดยก่อนหน้านี้เขาเคยฝากผลงานเพลงประกอบที่ได้รับความนิยมมาแล้วหลายเพลง เช่น “Here Always” (Hometown Cha-Cha-Cha), “My Destiny” (The Potato Lab) และ “Destiny” (The Midnight Studio) ขณะเดียวกัน ฮัน (Han) ก็ได้เปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ร้องเพลงประกอบครั้งแรกด้วยเพลง “Updraft” ซึ่งเป็นธีมหลักของซีรีส์ช่อง tvN เรื่อง “Typhoon Family” เพลงนี้ผสมผสานเสียงร้องอันทรงพลัง การเรียบเรียงแนวคอรัสสุดยิ่งใหญ่ และเนื้อหาที่สื่อถึง “ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้” ซึ่ง ฮัน (Han) สามารถถ่ายทอดได้อย่างสมบูรณ์แบบกับพลังทางดนตรีและการเล่าเรื่องเชิงลึกของเขา นอกเหนือจากความสำเร็จในเส้นทาง OST แล้ว Stray Kids ยังคงครองความนิยมระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพวกเขาเพิ่งปิดฉากทัวร์ dominATE World Tour ที่ทำสถิติสูงสุด และยังคว้าอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard 200 ติดต่อกันถึง 7 ครั้ง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับศิลปิน K-pop ในตอนนี้ Stray Kids กำลังเตรียมปล่อยอัลบั้มใหม่ SKZ IT TAPE “DO IT” ในวันที่ 21 พฤศจิกายน โดยอัลบั้มนี้จะประกอบไปด้วยเพลงไตเติลคู่ “Do It” และ “DIVINE” รวมถึงเพลง “Holiday”, “Photobook” และ “Do It (Festival Version)” ซึ่งล้วนเป็นผลงานการโปรดิวซ์ของยูนิต 3RACHA (บังชาน (Bang Chan), ชางบิน (Changbin), และ ฮัน (Han)) ตอกย้ำพลังสร้างสรรค์ทางดนตรีของ Stray Kids อย่างแท้จริง   ที่มา popcornfor2 รูป JYP Entertainment

คิมฮีชอล (Kim Hee Chul) สมาชิกวง Super Junior เปิดใจว่า ส่วนสูงของเขาลดลงจาก 185 เซนติเมตร เหลือ 176 เซนติเมตร เนื่องจากอาการบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 2006 ซึ่งทิ้งผลกระทบระยะยาวต่อร่างกายและทำให้เขาถูกจัดอยู่ในระดับ ความพิการทางร่างกายระดับ 4 ตามระบบการแพทย์ของเกาหลี ในการออกอากาศวันที่ 31 ตุลาคม ของรายการ “20th Century Hit-Song” (ตอนที่ 287) ทางช่อง KBS Joy ซึ่งมีธีมว่า “ศิลปินที่เอาชนะความเจ็บปวดได้” รายการได้พูดถึงเรื่องราวของศิลปินที่ต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิตและสามารถกลับขึ้นเวทีได้อีกครั้ง ระหว่างช่วงที่พูดถึงนักร้องเพลงร็อก คิมคยองโฮ (Kim Kyung Ho) ซึ่งเคยป่วยเป็นโรคกระดูกตาย (avascular necrosis) ที่บริเวณหัวกระดูกต้นขาแต่ยังคงแสดงต่อไปได้ — ฮีชอลได้แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะกระดูกต้นขาของผมก็เคยพังยับเยินเหมือนกัน ความสูงของผมลดลงจริง ๆ แต่ก่อนผมสูงประมาณ 185 เซนติเมตรครับ” ปัจจุบัน ส่วนสูงของคิมฮีชอลอยู่ที่ 176 เซนติเมตร ย้อนกลับไปในปี 2006, คิมฮีชอลประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางกลับจากตารางงานของ Super Junior เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายจุด รวมถึง ข้อเท้า กระดูกต้นขา และสะโพกด้านซ้ายหัก ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่เพื่อใส่ เหล็กยึดถึง 7 แท่ง หลังจากการรักษาและทำกายภาพบำบัดเป็นเวลานาน เขาถูกจัดให้อยู่ในระดับพิการทางร่างกายระดับ 4 อย่างเป็นทางการ คิมฮีชอลเคยพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดใจในช่อง YouTube ของเขา โดยกล่าวว่า “น่าจะเมื่อประมาณสิบปีก่อน หมอบอกว่าผมอาจจะเดินไม่ได้อีก และไม่ควรเดินทางไกลโดยเครื่องบินเลย ผมถึงกับได้รับการยกเว้นจากการฝึกทหารสำรองเพราะอาการนี้ครับ” “ตอนที่ผมไปขอใบรับรองความพิการ ผมรู้สึกสับสนและอับอายมาก จนสุดท้ายก็เดินออกมาจากที่นั่นโดยไม่ยื่นเรื่องเลย” คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ผู้ชมจำนวนมากรู้สึกประทับใจและชื่นชมในความเข้มแข็งทั้งทางกายและใจของเขา หลังการออกอากาศ แฟน ๆ หลั่งไหลไปแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจ เช่น “เขาเปิดเผยบาดแผลของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา นั่นแหละคือเหตุผลที่คนรักเขา” “ไม่น่าเชื่อว่าเขาผ่านเรื่องแบบนั้นมาได้ แต่ยังคงยิ้มและแสดงบนเวทีได้อย่างสดใส” “เขาคือหลักฐานว่าความแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงความสมบูรณ์แบบ” ปัจจุบัน คิมฮีชอล ยังคงปรากฏตัวในรายการวาไรตี้หลายรายการและทำงานในวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่อง ใช้อารมณ์ขันของเขาเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวด — แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ของเขาอย่างแท้จริง   ที่มา popcornfor2 รูป KBS Joy